แนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ
1. แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยต์ ซิกมันต์ ฟรอยด์(Sigmund Freud)
เป็นจิตแพทย์ชาวเวียนนา ฟรอยด์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพไว้ดังต่อไปนี้
1.1 โครงสร้างของบุคลิกภาพ
ตามแนวความคิดของของฟรอยด์นั้นเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ส่วน
(1) อิด(Id) คือ เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มีมาตั้งแต่กำเนิดโดยอยู่ในจิตไร้สำนึกอิดประกอบด้วยสัญชาตญาณในการดำรงชีวิตซึ่งได้แก่
สัญชาตญาณทางเพศ แรงผลักดัน ทางชีววิทยา เช่น ความหิว ความกระหาย การทำงานของอิดจะเป็นไปตามความพอใจ
(2) อีโก้(Ego) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มีลักษณะของความมีเหตุผลอยู่ในหลักความเป็นจริง
อีโก้พัฒนามาจากอิด
หน้าที่สำคัญสำคัญประการหนึ่งก็คือตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจให้กับอิด
(3) ซุปเปอร์อีโก้ เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนาเมื่อเด็กอายุ
5 หรือ 6 ขวบ
ซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นผลมาจากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดในสังคมว่าสิ่งใดควรทำ
สิ่งใดไม่ควรทำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
(3.1) มโนธรรม (Conscience)
เป็นส่วนของความละอายและเกรงกลัวต่อการทำผิด
(3.2) อุดมคติแห่งตน (ego-ideal) เป็นส่วนของความคาดหวังในสิ่งที่ดีงามเมื่อบุคคลทำในสิ่ง ที่ดีงามแล้วจะได้รับคำชมเชยและรางวัลซึ่งทำให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและพอใจ
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การทำงานของอิดนั้นเป็นไปเพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้กับตนเอง
การทำงานของของอีโก้นั้นอยู่ในลักษณะของความเป็นจริง ถูกต้อง
ส่วนการทำงานของซุปเปอร์อีโก้เป็นไปเพื่อให้การกระทอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมและทำให้การกระทำนั้นมีความสมบูรณ์ที่สุด
1.2 ขั้นพัฒนาการของบุคลิกภาพ
ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์ออกตามวัย พัฒนาการในวัยแรกๆ
ของชีวิตมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์เชื่อว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กแต่ละคนจะขึ้นอยู่การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของร่างกายโดยร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงบริเวณแห่งความพึงพอใจเป็นระยะๆ
ในช่วงอายุต่างๆกัน ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการเป็น 5 ระยะ ได้แก่
1) ขั้นปาก (Oral Stage) ช่วงอายุแรกเกิด – 12 หรือ 18 เดือน ความสุขและความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่ปาก กิจกรรมส่วนใหญ่ก็คือการใช้ปากดูด
นมขวด อมและกัด การตอบสนองที่มากหรือน้อยเกินไปก็ทำให้เกิดการชะงักงันในขั้นปากได้
เมื่อเติบโตก็จะมีพฤติกรรมเพื่อตอบสนองให้บริเวณปากได้รับความพึงพอใจ เช่น
การสูบบุหรี่ เด็กที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากแม่พอเติบโตขึ้นจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
ถ้าแม่ไม่ให้ความรักความอบอุ่นอย่างเพียงพอเมื่อเติบโตขึ้นเด็กจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
ชอบพุดจาเย้ย เจ้ากี้เจ้าการ
2) ขั้นทวารหนัก (Anal
Stage)ช่วงอายุตั้งแต่ 1 หรือ 1 ½ - 3 ขวบ ความสุขและความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่บริเวณทวารหนัก กิจกรรมส่วนใหญ่ก็คือการกลั้นอุจจาระและการถ่ายอุจจาระ
การบังคับให้ถ่ายเป็นเวลา เมื่อเด็กเติบโตขึ้นมักจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว
ถ้าพอใจกับการถ่ายอุจจาระ เมื่อเติบโตขึ้นมักจะเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
3) ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic
Stage) อายุ 3-5 ขวบ ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธุ์
เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ปมในระยะนี้มีปรากฎการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นได้แก่ ปมโอดิปุส
(Oedipus Complex) คือเด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก
และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่
แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่าตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง
ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ
ฉะนั้นเด็กก็พยายามที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว
และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง ส่วนเด็กหญิงมี ปมอีเลคตร้า (Electra
Complex) ฟรอยด์อธิบายว่า
แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มากเหมือนเด็กชาย
แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย
และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มีอวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ
และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศที่ตนปรารถนาจะมี
แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน
โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน (Represtion) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่
มาเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่
จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้
จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ "ผู้หญิง”
4) ขั้นแฝง (Latency
Stage) ระหว่างอายุ 6-13 ปี
เป็นระยะที่เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง
เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่วนเด็กหญิง ก็จะเล่น
หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital
Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12
ปีขึ้นไป จะมีความต้องการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม
ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์เชื่อว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพจะไม่มีอีกต่อไปเมื่อมนุษย์ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
คืออายุประมาณ 20 ปี
หรือถ้ามีการพัฒนาก็จะมีน้อยมาก ขั้นของพัฒนาการที่สำคัญที่สุดก็คือ ขั้นที่ 1
ขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3
2. แนวความคิดตามทฤษฏีบุคลิกภาพของอิริสัน อีริค
อีริคสัน (Erik
Erikson)
เห็นความสําคัญของEgo มากว่า Id และ Suprego อีริคสันได้จำแนกพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์เป็น
8 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจหรือความไม่ไว้วางใจ (Trust versus
Mistrust) ในช่วงขวบแรกของชีวิต ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก
เด็กจะอยู่ด้วยความหวังว่าจะมีผู้ช่วยเหลือทุกครั้งที่ตนมีความต้องการของตนแล้วเด็กยังเชื่อในตนเองว่ามีความสามารถที่จะใช้อวัยวะของตนเองช่วยตนเอง
เด็กที่ขาดความไว้วางใจจะกลายเป็นคนที่ก้าวร้าว
ตีตัวออกจากสิ่งแวดล้อมถ้าเด็กได้รับความรักใคร่ที่เหมาะสม
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเอง กับความละอายและสงสัย (Automonous
versus Shame and Doubt) ในช่วงขวบปีที่ 2 ของชีวิต
ถ้าเด็กมีโอกาสสำรวจและลงมือกระทำสิ่งต่างๆเขาก็จะพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักควบคุมตนเอง
แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงด้วยความเข้มงวด
เขาจะรู้สึกสงสัยในความสามารถของเขาทำให้เขาเกิดความละอายหรือไม่กล้าทำสิ่งใดลงไป
ขั้นที่ 3 ความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด (Initiative versus
Guilt) สําหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทําสิ่งต่างๆจะสนุกจากการสมมุติของต่างๆ
เป็นของจริง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมตลอดถึงการใช้ภาษาจะช่วยให้เด็กเกิดแง่คิดในการวางแผนและการริเริ่มทํากิจกรรมต่างๆก็จะเป็นการส่งเสริมทําให้เขารู้สึกต้องการที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไปเด็กก็จะมีความคิดริเริ่ม
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ใหญ่คอยเข้มงวด ไม่เปิดโอกาสให้เด็กตลอดเวลา
เขาก็จะรู้สึกผิดเมื่อคิดจะทําสิ่งใดๆ
ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกต้อยต่ำ (Industy
versus Inferiority) อายุ6-11
ปีเด็กในวัยนี้จะเริ่มเข้าเรียนและต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
มีพัฒนาการทางด้านความขยันขันแข็งโดยพยายามคิดทํา คิดผลิตสิ่งต่างๆ
แต่ถ้าตรงกันข้ามเด็กไม่ได้รับความสนใจ
หรือผู้ใหญ่แสดงออกมาให้เขาเห็นว่าเป็นการกระทําที่น่ารําคาญเขาก็จะรู้สึกตํ่าต้อย
ขั้นที่5 ความมีเอกลักษณ์ของตนเองกับความสบสนไม่เข้าใจตนเอง (Identity
versus role confusion)อายุระหว่าง 12-19 ปี
ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งชายและหญิง เป็นช่วงที่เด็กมีบทบาทต่างๆ
กับเพื่อ ครู เด็กจะเรียนรู้ที่จะมีแบบอย่างหรือสร้างเอกลักษณ์ให้กับตนเองไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย
กิริยาท่าทาง
ขั้นที่6 ความรู้สึกผูกพันและการแยกตัว(Intimacy
versus Isolation)วัยผู้ใหญ่ระยะต้น เป็นช่วงของการมีเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนต่างเพศ การมีความรัก ความผูกพันกับคนอื่น
ขั้นที่ 7 ความรู้สึกรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่หรือความเฉื่อยชา (Generativity
versus Self-Absorption)วัยกลางคน
ซึ่งมีความพร้อมที่จะสร้างประโยชน์ให้สังคมเต็มที่
ถ้าพัฒนาการแต่ละขั้นตอนดําเนินไปด้วยดี
มีการรับผิดชอบเอาใจใส่ต่อบุตรหลานให้มีความสุข
มีการอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้เป็นคนดีต่อไปในอนาคต แต่ถ้าตรงกันข้ามก็จะไม่ประสบผลสําเร็จ
เขาจะเกิดความรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายชีวิต คิดถึงแต่ตนเองไม่รับผิดชอบต่อสังคม
ขั้นที่ 8 ความรู้สึกมั่นคงในชีวิตกับความสิ้นหวัง (Integrity
versus Despair) เป็นช่วงของวัยชราซึ่งเป็นวัยสุดท้าย ถ้าบุคคลผ่านขั้นตอนต่างๆมาด้วยดีก็จะมองอดีตเต็มไปด้วยความสําเร็จมีปรัชญาชีวิตตนเอง
ภูมิใจในการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆให้แก่ลูกหลาน
แต่ถ้าตรงข้ามกันชีวิตมีแต่ความล้มเหลวก็จะเกิดความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต
เสียดายเวลาที่ผ่านมาไม่พอกับชีวิตในอดีตไม่ยอมรับสภาพตนเอง
เกิดความคับข้องใจต่อสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขาดความสงบสุขในชีวิต
3. แนวความคิดตามทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล แฮรี่
สแตค ซัลลิเวน (Harry Stack
Sullivan)
เป็นจิตแพทย์ซึ่งใช้วิธีการบำบัดรักษาคนไข้โดยวิเคราะห์ ต่อมาเขาได้เปลี่ยนวิธีการบำบัดรักษาโดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ซัลลิเวนได้กำหนดทฤษฏีบุคลิกภาพที่เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลโดยมีความเห็นว่าตลอดเวลาที่มนุษย์ชีวิตอยู่นั้นจำเป็นต้องมีสัมพันธภาพกับสิ่งแวดล้อมและสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นนั้นคือรากฐานของบุคลิกภาพทั้งนี้เพราะคนเราเกิดมาไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพังต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลตั้งแต่มารดาเป็นต้นไป
นอกจากนี้ซัลลิเวนยังมีความเชื่อว่าความปรารถนาของมนุษย์ที่สำคัญในชีวิตมี
2 ประการ คือ
ความสุขทางกายและความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ซึ่งความรู้สึกทางจิตใจทั้งสองอย่างนี้เกิดได้จากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน
ซัลลิแวนได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์เป็นขั้นๆ
ตามช่วงวัยและประสบการณ์ของบุคคลเป็น 7 ขั้นซึ่งใกล้เคียงกับช่วงวัยของอีริคสันดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 วัยทารก
ช่วงแรกเกิดจนถึงระยะที่ทารกสามารถฟังและพูดภาษาได้รู้เรื่อง
ฟฤติกรรมเกี่ยวกับปากเป็นพฤติกรรมที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
ขั้นตอนที่ 2 วัยเด็ก
เป็นช่วงที่เด็กรู้จักคิดและสื่อสารด้วยระบบสัญลักษณ์ซึ่งมักเป็นภาษาถ้อยคำ
มีกลุ่มเพื่อนๆ ร่วมวัยและบุคคลอื่น
ขั้นตอนที่ 3 วัยก่อนวัยรุ่น เป็นระยะเด็กเข้าโรงเรียนชั้นประถม
ชีวิตทางสังคมกว้างขวางออกไปอีก เด็กเรียนรู้บทบาททางสังคมของคนในวงกว้าง
รู้จักเคารพกฎเกณฑ์ของโรงเรียน เคารพวินัยของสังคม
ขั้นตอนที่ 4 วัยแรกรุ่น
เป็นระยะที่บุคคลรู้จักและยึดความเห็นของตนเป็นศูนย์กลาง (Ego Centeric) เพื่อสร้างไมตรีจิตอันสนิทสนมกับเพื่อนโดยเฉพาะกับเพื่อนเพศเดียวกัน
พัฒนาการดังกล่าวมีผลต่อการเป็นผู้ที่มีความสุขและสุขภาพจิตดี
ขั้นตอนที่ 5 วัยรุ่นตอนต้น
เป็นระยะที่สนใจเรื่องเพศและความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามรวมทั้งกิจกรรมประจำวันตามความเป็นจริงและตามที่นึกฝันเอาเอง
ขั้นตอนที่ 6 วัยรุ่นตอนปลาย เป็นช่วงที่สามารถเลือกทำกิจกรรมทางเพศตามที่ตนพอใจมากกว่าวัยที่ผ่าน
รู้จักคบหาสมาคมกับผู้อื่นอย่างผูกพันแน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ 7 วัยผู้ใหญ่ ถ้าบุคคลมีพัฒนาการดำเนินมาดีโดนตลอด6
ขั้นตอนที่ผ่านมา
ผู้นั้นก็จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างมีวุฒิภาวะมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นอย่างดี
4. แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ของจุง (Jung’s Analytical Psychology)
จุงเป็นจิตแพทย์ชาวสวิสเซอร์แลนด์เป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับฟรอยด์แต่ได้แยกตัวออกมาจากฟรอยด์เนื่องจากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
เขาให้ความสำคัญกับพัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตภายหลังอายุ 1-5 ปี
โดยเชื่อว่าบุคคลมีอิสระที่จะพัฒนาตนไปในด้านต่างๆได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ
ศาสนา และกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ โครงสร้างบุคลิกภาพที่เรียกว่าจิต (Psyche) นี้ ประกอบด้วยระบบต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันได้แก่
4.1 เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลรับรู้และรวมถึงความคิด ความรู้สึกต่างๆ
และความจำ
4.2 จิตไร้สำนึกส่วนบุคคล (The
Personal Unconsciuos) เป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับอีโก้
เป็นส่วนที่ประกอบด้วยประสบการณ์ทั้งหลายที่ถูกเก็บกดไว้และลืมเลือนไปแล้วด้วยเหตุผลบางประการโดยเฉพาะความไม่สบายใจเกิดขึ้น
4.3 จิตไร้สำนึกสะสม (The
Collective Unconsciuos )
เป็นส่วนของความจำหรือพฤติกรรมต่างๆ
ของมนุษย์ที่เก็บสะสมกันมาหลายชั่วอายุคนและถ่ายทอดจนถึงปัจจุบันจิตไร้สำนึกสะสมประกอบไปด้วยสัญชาตญาณและรูปหรือภาพซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของเรา
4.4 หน้ากาก (Persona)
เป็นภาวะที่บุคคลต้องแสดงตนหรือพฤติกรรมตามที่สังคมคาดหวังหรือตามประเพณีนิยมและบางครั้งก็เพื่อตอบสนองแรงจูงใจของรูปภาพ
4.5 เงา (Shadow)
เป็นความระลึกนึกคิดที่ติดตัวมาเหมือนเงาตามตัวและถูกบดบังไว้ในจิตไร้สำนึก
ขนบธรรมเนียม
4.6 ลักษณะของความเป็นชายและความเป็นหญิง (Anima and Animus)
จุงเชื่อว่าผู้ชายและผู้หญิงทุกคนจะมีส่วนประกอบของเพศตรงข้ามอยู่ในตัวกล่าวคือ
เพศชายจะมีลักษณะความเป็นหญิงอยู่ในตัว เพศหญิงจะมีลักษณะของความเป็นชายอยู่ในตัว
บุคคลนั้นด้วย
จุงแบ่งบุคลิกภาพเป็น 3 ประเภทคือ
- บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (Introvert) เป็นคนลึกลับ ชอบเก็บตัวและผูกพันกับตนเองมากกว่าที่จะผูกพันกับสังคม
- บุคลิกภาพแบบเปิดเผย (Extervert) เป็นคนเปิดเผย ร่างเริง ชอบเข้าสังคมและสนใจสิ่งแวดล้อม
- บุคลิกภาพแบบกลางๆ (Ambivert) มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างบุคลิกภาพแบบเก็บตัวและแบบเปิดเผย คือไม่เก็บตัวมากจนเกินไป
จุงเสนอแนะว่าบุคลิกภาพแบบกลางๆ
เป็นบุคลิกภาพที่พอเหมาะซึ่งน่าจะปรากฏในบุคคลที่สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้ดีมีประสิทธิภาพหรือเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั้นเอง
5.
แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคล (Individual Psychology) อัลเฟรด
แอดเลอร์
เป็นผู้บุกเบิกแนวทางในการศึกษาพฤติกรรมและบุคลิกภาพของมนุษย์ที่เน้นอิทธิพลของสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์หรือพฤติกรรมสังคม
แนวความคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของแอดเลอร์มีดังนี้
5.1 ความปรารถนามีปมเด่น (Striving
for Superiority) แรงจูงใจสำคัญซึ่งครอบงำพฤติกรรมส่วนใหญ่และลักษณะบุคลิกภาพของตน
5.2 ปมด้อย (Inferiority)
ความปรารถนามีปมเด่นจะสัมพันธ์กับความรู้สึกต่ำต้อยและการแสวงหาสิ่งชดเชย
ทุกคนจะมีจุดอ่อนไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางสังคม อารมณ์
ซึ่งจุดอ่อนนี้จะมีมากน้อยแตกต่างกันออกไป
5.3 ประสบการณ์ในวัยเด็ก มีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ ปมเด่น
ปมด้อยของบุคคลทุกคน
เขาให้ข้อคิดเห็นว่าเด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาได้แก่
(1)
เด็กที่มีปมด้อยจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้มีเคราะห์กรรมต้องพบตาความล้มเหลวตลอดเวลา
(2)
เด็กที่ถูกเอาใจจนเสียเด็กมักจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เอาแต่ใจตนเองเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัว
(3)
เด็กที่ถูกทอดทิ้งมักจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกฝังใจว่าตนเป็นผู้ที่คนอื่นรังเกียจเหยียดหยาม
5.4 สัมพันภาพภายในครอบครัว (Family Relationship)
แอดเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าลำดับการเกิดในครอบครัวมีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคลดังนี้
(1) ลูกคนโตมักจะเป็นของขวัญของครอบครัว ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ลูกคนโตมักชอบเป็นผู้นำ ชอบวางอำนาจ เป็นคนเอาจริงเอาจังต่อชีวิต
(2)
ลูกคนรอง พ่อแม่เลี้ยงด้วยความสบายใจ ลูกคนรองส่วนใหญ่จึงมีนิสัยรักสนุก
ไม่สนใจที่จะเป็นผู้นำหรือวางอำนาจ
(3) ลูกคนสุดท้อง โดยมากมักจะได้รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่และพี่ๆ
ถ้าได้รับการตามใจมากเกินไปอาจทำให้เด็กเสียคนได้
(4)
ลูกคนเดียว มักจะไม่พ้นการถูกตามใจจนเหลิง
แต่ลูกคนเดียวมีโอกาสดีตรงที่ไม่ถูกแย่งความรักจึงทำให้เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
5.5 อิทธิพลแห่งวัฒนธรรม (Cultural
Influencys) นอกจากอิทธิพลของครอบครัวแล้ว
แอดเลอร์เห็นว่าวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่คนเราเกิดมากก็มีความสำคัญยิ่งต่อการสร้างบุคลิกภาพ
ปัจจุบันนี้เด็กใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับโรงเรียน
โรงเรียนจึงเป็นสถาบันที่สำคัญสถาบันหนึ่งที่จะช่วยหล่อหลอมบุคลิกภาพในวัยเด็ก
6.
แนวความคิดตามทฤษฎีตัวตนของโรเจอร์ (Roger’ Self Theory)
โรเจอร์เป็นนักจิตวิทยาคลินิกได้พัฒนาทฤษฎีบุคลิกภาพจากการสังเกตผู้ป่วยในระหว่างการบำบัดรักษาทางจิตทฤษฎีนี้เป็นการมองลักษณะต่างๆ
โครงสร้างบุคลิกภาพของคนเราตามทัศนะของโรเจอร์ประกอบด้วยตนเอง 3 แบบดังนี้
6.1 ตัวตนที่มองเห็น เป็นภาพของตนที่เห็นเองว่าตนเป็นคนอย่างไร คือใคร
มีลักษณะเฉพาะตนอย่างไร เช่น คนสวย คนเก่ง
6.2 ตัวตนตามที่เป็นจริง
เป็นลักษณะของบุคคลที่เป็นไปตามข้อเท็จจริงซึ่งตรงกับที่ผู้อื่นมองเห็น
6.3 ตัวตนตามอุดมคติ เป็นตัวตนที่อยากมี
อยากเป็นแต่ยังไม่มีไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน
บุคคลที่มีตัวตนที่มองเห็นแตกต่างกันมากหรือมีข้อขัดแย้งกับตัวตนตามที่เป็นจริงบุคคลนั้นก็มีแนวโน้มที่ จะเป็นบุคคลก่อปัญหาให้แก่ตัวเองและผู้อื่น
โรเจอร์มีแนวคิดว่า บุคคลที่มีลักษณะสมบรูณ์แบบจะต้องมีคุณลักษณะเฉพาะดังนี้
· เป็นผู้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
· มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริง
· มีความไว้วางใจตนเอง
· มีลักษณะสร้างสรรค์
· ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น
7.แนวคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฮอร์นาย คาเรน ฮอร์นาย(Karen Horney)
ฮอร์นายมีความเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมทางสังคมมีบทบาทต่อการพัฒนาบุคลิกภาพมากกว่าปัจจัยโน้มเอียงภายใน
ฮอร์นายได้อธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการดังนี้
1. ความต้องการความรักและการยอมรับ
2.
ความต้องการมีคู่ครองเพื่อที่จะได้ยึดเป็นหลักพึ่งพาอาศัย
3. ความต้องการที่จะจำกัดตนอยู่ในวงแคบ
4. ความต้องการมีอำนาจ
5. ความต้องการทำลาย
6. ความต้องการที่จะได้รับความยกย่องและสรรเสริญ
7. ความต้องการที่จะให้คนอื่นชื่นชมตนเอง
8. ความต้องการในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
9. ความต้องการที่จะแยกตัวจากคนอื่น
10. ความต้องการความสมบรูณ์แบบชนิดหาที่ติมิได้
ดังนั้นฮอร์นายจึงเน้นความสำคัญของการอบรมเลี่ยงดูเด็กที่มีต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์
8. .แนวคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฟรอมม์ อิริคฟอร์ม( Erich Froum)
มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพเกิดจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสังคมที่จะตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล
ความต้องการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของบุคลิดภาพแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้
1. ความต้องการมีความสัมพันธ์ แก้ไขความอ้างว้างโดยการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
2. ความต้องการสร้างสรรค์ รู้จุดเด่นและจุดด้อย
3. ความต้องการมีสังกัด การมีไมตรีจิตกับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป
4. ความต้องการมีเอกลักษณ์
เป็นความต้องการของตัวเอง รู้จักตัวตนของตัวเอง
5. ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว
มนุษย์ถูกฝึกฝนอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและสังคมต้องตอบสนองความต้องการของมนุษย์เช่นกัน
ดังนั้นสภาพของสังคมจึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์
ฟรอมม์ได้แบ่งลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมเป็น
2 ประเภทใหญ่ คือ
1. บุคลิกภาพประเภทไม่สร้างสรรค์ มี 4 ลักษณะ
1.1 บุคลิกภาพชอบทำลาย มีความก้าวร้าวสูง
1.2
บุคลิกภาพยอมรับฟังหรือทำตามผู้อื่น
1.3
บุคลิกภาพชอบท้าทายเป็นนักธุรกิจ ชอบเก็บของแล้วขายต่อ
1.4
บุคลิกภาพชอบสะสมไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือตัวบุคคล
2. บุคลิกภาพประเภทสร้างสรรค์ มีลักษณะกระตือดือร้น กระฉับกระเฉงว่องไว
9. แนวคิดตามทฤษฏีการวิเคราะห์การติดต่อสื่อสาร
( Transactional Analysis)
อีริค เบอร์น
ได้กล่าวถึงโครงสร้างทางบุคลิกภาพของบุคคลที่เรียกว่า สภาวะส่วนตน
เมื่อบุคคลมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นบุคคลนั้นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆไปตามบุคคลที่เขากำลังติดต่อสื่อสารด้วย
เช่น น้ำเสียง คำพูด สีหน้า ท่าทาง เป็นต้น
สภาวะส่วนตนประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ 3 ส่วนได้แก่
สภาวะความเป็นพ่อแม่
สภาวะความเป็นผู้ใหญ่
สภาวะความเป็นเด็ก
9.1 สภาวะความเป็นพ่อแม่
เป็นสภาวะส่วนตนที่แสดงบุคลิกภาพเป็นแบบพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่มีอิทธิพลเหนือกว่า
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
9.1.1 พ่อแม่ที่มีความเมตตา เป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่เข้าใจในลักษณะของการช่วยเหลือ
ปลอบโยน ให้กำลังใจ ห่วงใย เป็นต้น
9.1.2
พ่อแม่บังคับควบคุม
เป็นลักษณะที่ชอบประเมินและตัดสินผู้อื่น เช่น การดุด่า ตำหนิติเตือน
เป็นต้น
9.2 สภาวะความเป็นเด็ก
เป็นสภาวะส่วนตนที่แสดงบุคลิกภาพแบบเด็ก ได้แก่ ความสนุกสนานร่าเริง ความเพ้อฝัน
ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น สภาวะความเป็นเด็กแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
9.2.1 เด็กตามธรรมชาติ
เช่นความสนุกสนานร่าเริง
9.2.2
เด็กปรับตัว เป็นการไม่ปรับตัว ต้องพึ่งคนอื่น ตัดสินใจเองไม่ได้
9.3 สภาวะความเป็นผู้ใหญ่ เป็นสภาวะส่วนตนที่แสดงบุคลิกภาพในลักษณะของการใช้เหตุผล
แสวงหาข้อมูลความรู้ต่างๆ เป็นต้น
บุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสมหรือผิดปกติแบ่งได้เป็น 3
ลักษณะ ดังนี้
1. ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่
1.1 ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นพ่อแม่
1.2 ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นเด็ก
1.3 ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นพ่อแม่และสภาวะความเป็นเด็ก
2. การปิดกั้นสภาวะส่วนตนแต่ละส่วน
2.1 การมีสภาวะความเป็นพ่อแม่เพียงอย่างเดียว
2.2 การมมีสภาวะความเป็นผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว
2.3 การมีสภาวะความเป็นเด็กเพียงอย่างเดียว
3. การเปลี่ยนแปลงสภาวะส่วนตนที่รวดเร็วเกินไป เป็นบุคลิกภาพที่แปรปรวน แน่นอน
ทำให้มีสัมพันธภาพกับผู้อื่นเป็นไปด้วนความสับสน
10 แนวคิดตามแนวพุทธศาสนา
มีองค์ประกอบ ที่สำคัญ 2 ประการได้แก่
1. รูปขันธ์ คือ ลักษณะทางกาย ได้แก่ อวัยวะต่างๆ
ที่เป็นกระดูกเนื้อหนัง โลหิตและประสาทสัมผัส
2. นามขันธ์ หมายถึง
จิตใจเป็นลักษณะที่แสดงถึงความมีชีวิตของมนุษย์ ซึ่งเกิดพร้อมกันกับทางกายและจิต
มีกระบวนการทำงาน 4 ด้านคือ
2.1 เวทนา หมายถึง การรับรู้ความรู้สึกต่างๆ
2.2 สัญญา หมายถึง ความจำ การจำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆได้
2.3 สังขาร หมายถึง การสำนึก นึกคิด
ปรุงแต่งให้จิตดี ชั่วเป็นแบบกลางๆ
2.4 วิญญาณ หมายถึง
สภาวะจิตที่รับรู้ในอารมณ์ที่มากระทบ
ดังนั้น รูปขันธ์และนามขันธ์ คือ
ร่างกายและจิตใจที่มีความสัมพันธ์กันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
การจำแนกลักษณะบุคลิกภาพของมนุษย์โดยยึดหลักจริต
แบ่งออกเป็น 6ประเภทดังนี้
1.ราคจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางราคะ รักสวยรักงาม ละมุนละไม
ชอบสิ่งที่สวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสที่นุ่มละมุน
และจิตใจจะยึดเกาะกับสิ่งเหล่านั้นได้เป็นเวลานานๆ
2. โทสจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโทสะ ใจร้อน
วู่วาม หงุดหงิดง่าย อารมณ์รุนแรง โผงผาง เจ้าอารมณ์
3.โมหจริต
คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโมหะ เขลา เซื่องซึม เชื่อคนง่าย งมงาย ขาดเหตุผล
มองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่ง
4. ศรัทธาจริต หรือสัทธาจริต
คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางศรัทธา น้อมใจเชื่อ เลื่อมใสได้ง่าย
ซึ่งถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นคุณ
แต่ถ้าไปเลื่อมใสในสิ่งที่ผิดก็ย่อมเป็นโทษต่างจากโมหจริตตรงที่โมหจริตนั้นเชื่อแบบเซื่องซึม
ส่วนศรัทธาจริตนั้นเชื่อด้วยความเลื่อมใส เบิกบานใจวิตกจริต หรือวิตกจริต
คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถยึดเกาะกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
5. วิตกจริต หรือวิตกจริต
คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถยึดเกาะกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
6.ญาณจริต หรือพุทธิจริต
คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางชอบคิด พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างลึกซึ้ง ชอบใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง
ไม่เชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล
จากลักษณะบุคลิกภาพดังกล่าวข้างต้น
โดยบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบพุทธจริตจึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่สมบรูณ์เพราะเป็นผู้ที่ปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมและการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับหลักความเป็นจริง