วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ฺBacteria

โรคไอกรน  (Whooping Cough or Pertussis)

ไอกรนเป็นโรคติดต่อที่สำคัญอันหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ พบมากในเด็กทุกเพศทุกวัยที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี เกิดได้ในทุกสภาพอากาศหรือภูมิประเทศ ในชุมชนที่มีประชาชนอาศัย อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น มักพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้สูง โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดู ใบไม้ผลิ

สาเหตุของโรคไอกรน
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยติดเชื้อโดยตรงจากละอองอากาศที่ผู้ป่วยไอและจาม รดใส่ หรือปนออกมากับเสมหะ นํ้ามูก นํ้าลายของผู้ป่วย

เชื้อที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่เชื้อแบคทีเรีย บอร์ดีเทลลา เปอร์ตัสซิส (Bordetella Pertyssis)

แหล่งของโรค ได้แก่ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะติดต่อ

การติดต่อ เชื้อโรคอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย โดยมักอยู่ส่วนลึกของลำคอและในหลอดลมของผู้ป่วย สามารถติดต่อได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
การติดต่อทางตรง โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทำให้ติดต่อได้โดยตรงจากนํ้ามูก นํ้า ลาย เสมหะของผู้ป่วย ด้วยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน
การติดต่อทางอ้อม โดยการใช้ผ้าเช็ดหน้า ภาชนะในการดื่มและรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย หรือหายใจเอาฝุ่นละอองที่มีเชื้อโรคเข้าไป เป็นต้น

ระยะฟักตัวของโรค ประมาณเวลา 7 วัน แต่อาจเริ่มตั้งแต่ 5-12 วัน

ระยะติดต่อ โรคไอกรนมีโอกาสติดต่อได้มากในระยะแรกที่ผู้ป่วยมีนํ้ามูก นํ้าลาย แล้วค่อยๆ ลดลงถึงสัปดาห์ที่ 3 จะไม่มีการติดต่อของโรคทั้งๆ ที่ผู้ป่วยยังมีอาการไออยู่ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจแพร่เชื้อได้เป็นเวลานาน 4-6 สัปดาห์
ความไวต่อโรคและความต้านทาน

ทุกคนที่ไต้รับเชื้อมีความไวต่อการเป็นโรคไอกรน ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าทารกได้รับภูมิคุ้มกันโรคนี้จากมารดาหรือถ้าได้ก็น่าจะอยู่ในระดับต่ำ
มีการสำรวจพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี อัตราป่วยด้วยโรคนี้สูง มีอัตราการตายมากที่สุดใน กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีที่ป่วยเป็นโรคนี้ กลุ่มเพศหญิงจะมีอัตราป่วยและตายสูงกว่าเพศชาย ฉะนั้นต้องให้เด็กเล็กได้รับวัคซีนตามกำหนด ผู้ป่วยเมื่อหายจากโรคไอกรนจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคได้นาน แต่อาจเป็นซํ้าสองได้ในวัยผู้ใหญ่

อาการของโรคไอกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการคันคอและไอ จากไอธรรมดาเป็นไอซ้อนติดต่อกันเป็นชุดๆ จนหายใจไม่ ทันเพราะน้ำมูกไหล มีเสียงหายใจเข้าดังวู้บ ผู้ป่วยบางคนอาจไอจนหน้าเขียวเนื่องจากขาดอากาศหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะมีอาการมากกว่าเด็กโตและผู้ใหญ่
ไอกรนเป็นโรคติดต่อแบบเฉียบพลัน มีอาการของหลอดเลือดใหญ่ หลอดลมเล็ก และ แขนงหลอดลม แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1.    ระยะเริ่มต้น    (Catarrbal Sfage) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไอนํ้าตาไหล จาม นํ้ามูกไหล เบื่ออาหาร เวียนศีรษะ มีอาการไอแห้งเสียงดังแค้กๆ คล้ายเป็นหวัดในเวลากลางคืน และต่ อไป จะไอในเวลากลางวันด้วย ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
2.    ระยะที่สอง    (Paroxysmal Stage) ผู้ป่วยจะมีอาการไอถี่ขึ้น ไอเป็นชุดจนแทบไม่ได้ พักหายใจ ไอชุดหนึ่งประมาณ 10-15 ครั้ง ทำให้พอหายไอจะหายใจเข้าปอดอย่างแรงลึกๆ เกิดเสียงดัง “วูด” หรือ ’’วี้ด” (Whoop) ซึ่งเป็นระยะที่เรียกว่า “ไอกรน” และจะยิ่งมีอาการไอ มากขึ้นจนหน้าเขียว เส้นโลหิตที่คอโป่ง มีโลหิตออกจากเยื่อตา และอาจอาเจียนเนื่องจากมีเสมหะมาก ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้พักผ่อน มีอารมณ์ฉุนเฉียว ในเด็กเล็กจะร้องไห้กวน ระยะนี้กิน เวลาประมาณ 10-14 วัน
3.    ระยะที่สาม (Convalescent Stage) ต่อจากช่วงที่มีอาการรุนแรงของโรคแล้ว อาการ ไอจะทุเลาลง และจะหมดอาการของโรคเมื่อครบ 3 เดือนโดยประมาณ
โรคไอกรนเทียม (Paratertussis) ลักษณะอาการของโรคในผู้ป่วยบางคนอาจไม่รุนแรง หรือเนื่องจากเกิดเชื้อบอร์ดีเทลลา เปอร์ตัสซิส (Bordetella Pertussis)

การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค
1.    สังเกตจากอาการ โดยเฉพาะอาการไอ และอาการอื่นๆของผู้ป่วย
2.    ตรวจพบจำนวนเม็ดโลหิตขาวสูงประมาณ 15,000-20,000 ตัวต่อคิวบิดมิลลิเมตร และ 60-80 % เป็นเซลล์ของพวกลิมโฟไชท์
3.    เมื่อนำไม้พันสำลีไปกวาดบริเวณหลอดคอส่วนจมูก    (Nasopharyngealswab) แล้วนำ ไปเพาะเชื้อ จะพบเชื้อโรคนี้

การรักษาพยาบาล
ให้ยาอีริธโทรมัยชิน (Erythromycin) 50 มก./นน.ตัว 1 กก. ให้ ไฮเปอร์ฮีมูน แกมมา กลอบุลสิน (Hyperimmune gamma globullin) 3-6 ซีซี. ฉีดเข้ากล้ามเนี้อ
รักษาตามอาการ ให้อาหารที่มีแคลอรี่สูง พักผ่อนให้เพียงพอ และให้ยาขับเสมหะ ยากล่อมประสาทช่วยให้ผู้ป่วยลดอาการไอ การใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์

วัคซีน
ในเด็กเกิดใหม่ เริ่มให้วัคซีนตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน ฉีด 2 ครั้งห่างกัน 2 เดือน แล้วฉีดซํ้าเมื่อครบ 1 ปีครึ่ง ต่อไปจึงฉีด 1 ครั้ง เมื่อเด็กอายุ 5-6 ปีตอนเข้าโรงเรียน

โรคแทรกซ้อน ได้แก่โรคปอดบวม หูนํ้าหนวก เด็กบางคนไอมากจนกินอาหารไม่ได้ จนเกิดภาวะขาดอาหาร และเจ็บชายโครงเนื่องจากไอทำให้ความตันในช่องท้องสูงอาจเกิดเป็น ไส้เลื่อนได้และทำให้ตาแดงปอดอักเสบ ถ้าเป็นวัณโรคอาการก็จะกำเริบ หากมีอาการเรื้อรังหรือ อาการของโรคหรือโรคแทรกซ้อน ควรรีบกลับไปพบแพทย์

โรคอื่นๆที่มีอาการคล้ายไอกรน ได้แก่โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้ หวัด วัณโรค เป็นต้น
การปฏิบัติตน
เมื่อป่วยหรือสงสัยว่าเป็น โรคไอกรน นอกจากการรีบไปพบแพทย์และปฏิบัติตามคำ แนะนำเกี่ยวกับผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อ ดังกล่าวรายละเอียดไว้ในบทนำแล้ว ยังมีข้อควรทราบ   เกี่ยวกับการปฏิบัติเฉพาะโรคเพิ่มเติม ดังนี้
1.    ควรจัดแยกผู้ป่วยให้อยู่ต่างหากทันทีเมื่อเห็นว่ามีอาการของโรค
2.    ควรทำลายเชื้อที่ออกมากับนํ้ามูก นํ้าลาย เสมหะ ในนํ้ายาฆ่าเชื้อโรค แล้วจึงนำไปฝัง หรือ เผาไฟทิ้ง หรือก่อนนำไปซักล้างแล้วต้ม สำหรับข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วย

การป้องกันและควบคุมโรค นอกจากปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันการรับเชื้อหรือภาวะที่ทำให้เกิดโรค ดังกล่าวรายละเอียดไว้ในบทนำแล้ว ยังมีข้อควร ทราบเพิ่มเติมเฉพาะโรค ดังนี้
1.    ให้เด็กเล็กได้รับภูมิคุ้มกัน    ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนและโรคอื่นๆตามกำหนด
2.    ไอกรนเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กถึงชีวิต ควรให้ความระมัดระวัง ดูแลเป็นพิเศษ

การป้องกันในขณะมีการระบาด
ขณะมีการระบาดควรสืบสวนหาผู้ป่วยที่ไม่ได้รับรายงาน
การควบคุมและป้องกันระหว่างประเทศ ให้ภูมิคุ้มกันโรคแบบแอคทิฟแก่เด็กที่ จะเดินทางระหว่างประเทศ

อ้างอิงจากเว็บไซต์   http://www.healthcarethai.com , http://www.siamhealth.net

 
           


้้Helminth

โรคพยาธิแส้ม้า (Trichuriasis)



โรคพยาธิแส้ม้า พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในท้องถิ่นที่มีอากาศอบอุ่นและมีความชื้น อาจพบได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น สุนัข สุกร แกะ และสัตว์อื่นๆ ในประเทศไทยมีประชาชนเป็นโรคนี้ร้อยละ 38.3 พบมากทางภาคใต้ ส่วนภาคอื่นๆพบได้ค่อนข้างน้อย
เชื้อที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่พยาธิตัวกลมที่มีชื่อว่า ทริเธอริส ทริคเธอร่า (Trichuris trichura) เป็นพวกนีมาโตดี (Nematode) โดยมากพบว่าอาศัยเกาะอยู่ในลำไส้ส่วนใกล้ไส้ติ่งเป็นโรคพยาธิของลำไส้ พยาธิจะไชหัวและส่วนหน้าของลำตัวฝังเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เยื่อบุลำไส้เกิดเป็นแผลเล็กๆ และอาจทำให้มีอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร ท้องเดิน น้ำหนักลด และโลหิตจาง
แหล่งของโรค ได้แก่ผู้ที่มีพยาธิแส้ม้าอาศัยอยู่ในร่างกาย

วงจรชีวิต 
พยาธิชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายแส้ที่ใช้ตีม้า จึงเรียกว่าหนอนพยาธิแส้ม้า โดยมีลักษณะลำตัวตอนต้นหรือส่วนหัวเรียวเล็กเป็นเส้น ส่วนตอนหลังใหญ่หรือกว้างคล้ายด้ามแส้ตีม้า ตัวผู้จะยาวประมาณ 3-4 ซม. ปลายหางขดงอเป็นวง ตัวเมียยาวประมาณ 4-5 ซม. ปลายหางเหยียด ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์แล้วจะออกไข่มากับอุจจาระประมาณ 5,000-7,000 ฟองต่อวัน ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวบนพื้นดินประมาณ 2-3 อาทิตย์จึงจะมีตัวอ่อนของพยาธิอยู่ในไข่ ซึ่งเป็นระยะติดต่อไปสู่คนทางอาหาร เช่น การรับประทานผักสดหรือดื่มน้ำที่มีไข่ในระยะติดต่อเข้าไป ตัวอ่อนจะออกจากไข่แล้ว เกาะติดผนังลำไส้เจริญเติบโตเป็นตัวแก่ผสมพันธุ์และออกไข่ปะปนออกมากับอุจจาระเป็นวัฎจักร
ตัวพยาธิอาจมีชีวิตอยู่ในร่างคนได้ประมาณ 5 ปีจึงจะตาย ตั้งแต่รับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิเข้าไปจนเจริญเป็นตัวแก่ สามารถปล่อยไข่ปนกับอุจจาระกินเวลาประมาณ 90 วัน


พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะส่วนซีคั่ม ยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 3000-7000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระลงสู่พื้นดิน เมื่ออุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ไข่จะเจริญเติบโตเป็นระยะ 2 เซลล์ และจะกลายเป็นตัวอ่อน( advanced cleavage stage) และจะกลายเป็นตัวอ่อนในระยะติดต่อ ใช้เวลาทั้งหมด 15-30 วัน  หลังจากที่คนรับประทานไข่เข้าไป ไข่จะแตกเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และตัวอ่อนจะเจริญเติบโต และจะกลายเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้ใหญ่ โดยใช้ส่วนหัวและลำตัวฝังที่ผนังลำไส้ใหญ่ ตัวแก่จะมีความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร ตัวเมียจะเริ่มวางไข่หลังจากรับประทาน 60-70 วัน ตัวพยาธิจะมีอายุประมาณ 1 ปี

การติดต่อ ติดต่อโดยไข่พยาธิในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกายทางอาหาร

ระยะฟักตัว ประมาณ 7 – 21 วันในการที่ไข่จะฟักตัวบนพื้นดินจนมีตัวอ่อนอยู่ในไข่ หรือประมาณ 90 วันนับจากรับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิเข้าไปเจริญเติบโตในร่างกายจนเป็น ตัวแก่สามารถปล่อยไข่ปะปนออกมากับอุจจาระ
ระยะติดต่อ ตลอดระยะเวลาที่มีพยาธิตัวแก่อยู่ในลำไส้
ความไวรับและความต้านทานโรค ทุกคนมีโอกาสเป็นพยาธินี้ได้หากได้รับไข่ในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกาย

อาการ
ผู้ป่วยด้วยโรคพยาธิแส้ม้าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาการของโรค ยกเว้นแต่ในรายที่พยาธิ เป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดมีอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร และจะมีอาการซีด อ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย หรือโลหิตจาง เนื่องจากสูญเสียโลหิตให้กับพยาธิ มีผู้ศึกษาไว้ว่าพยาธิตัวหนึ่งสามารถดูดโลหิตถึงวันละ 0.15 มล.

อันตรายของโรค หนอนพยาธิอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ในร่างกายคน ทำให้ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ มีอาการปวดท้อง บางครั้งถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด

การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค ตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบไข่พยาธิ
การรักษาและควบคุมป้องกันโรค เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในเรื่องพยาธิไส้เดือน และพยาธิปากขอ สำหรับผู้ที่เป็นโรคพยาธิควรกินยาถ่ายพยาธิ เพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่น

ยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคพยาธิแส้ม้า ได้แก่
1.ไทอาเบนดาโซล   (Thiabendazole) ขนาด 25 มก./นน.ตัว 1 กก. สูงสุดให้ไม่เกิน 1.5 กรัม รับประทานวันละ 2 ครั้ง 2 วัน
2.หรือใช้ เฮกซิลเรซอคอล (Hexylresorciol) 0.2 % สวนทวารหนัก
3.สติลบาเซียม          ไอโอไดน์ (Stilbazium iobide)
4.ไพแรนทอล           พาโมเอท (Pyrantal Pamoate)
5.ยาถ่ายพยาธิที่มีสารประกอบพวก          เมเบนดาโซ (Mebendazole)
6.มะเกลือ      ขนาด 1 ผล/อายุ 1 ปี แต่ไม่เกิน 25 ผล โดยนำมาตำคั้นน้ำแล้วนำมาผสม กับหัวกะทิ ดื่มในตอนเช้า (ดูในเรื่อง พยาธิปากขอด้วย)

การวินิจฉัย
ตรวจอุจาระไข่และตัวแก่ในอุจาระ

              
            

 ไข่จะมี Plug ที่ขั้วทางปลายทั้งสองข้างมีเปลือกสีน้ำตาล





การป้องกัน
·         ควรถ่ายอุจาระลงส้วม
·         ไม่ควรรับประทานผักสดที่ล้างไม่สะอาด

·         ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร

Protozoa

Trichomonas vaginalis


 ที่มา: http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/framepro.htm-Flagellates- Trichomonas vaginalis
อุบัติการและความสำคัญ
Trichomoniasis เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดในโลก อุบัติการของโรคนี้แตกต่างกันโดยพบสูงในประเทศที่กำลังพัฒนาคือประมาณร้อยละ 5075 นอกจากจะทำให้เกิดอาการที่สัมพันธ์กับการติดต่อโรคนี้แล้วยังทำให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น76 ในสตรีตั้งครรภ์พบว่ามีความสัมพันธ์กับการแตกของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนด การคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย   ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดภาระในการดูแลทางสาธารณสุข และใช้ค่าใช้จ่ายเป็นสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

สาเหตุ
Trichomoniasis เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ซึ่งรูปร่างลักษณะของโปรโตซัวชนิดจะมีลักษณะคล้ายผลสาลี่ มีหนวด 4 เส้น ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดขาวเล็กน้อยเมื่อส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ มีการเคลื่อนไหวเป็นกระตุกไปมา พบอยู่ในบริเวณ urogenital mucosa    เจริญเติบโตได้ดีใน pH 5-6     ขณะมีเพศสัมพันธ์การติดต่อจากเพศหญิงไปเพศชายพบร้อยละ 4-80   การติดต่อจากเพศชายไปเพศหญิงพบร้อยละ 66-10075   Trichomonas vaginalis สามารถทนอยู่ในห้องน้ำเปียกได้นาน 90 นาที อยู่ในน้ำประปาที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ได้นาน 24 ชั่วโมง อยู่ในน้ำอสุจิหลั่งออกมาได้นาน 6 ชั่วโมง    อยู่ในตกขาวได้นาน 48 ชั่วโมง     อยู่บนที่นั่งส้วมได้นาน 45 นาที และอยู่บนผ้าเช็ดตัวเปียกได้นาน 24 ชั่วโมง79    อย่างไรก็ตามการติดเชื้อนี้จะต้องอาศัยเชื้อจำนวนมากพอควร และเชื้อเข้าไปในบริเวณที่สามารถติดเชื้อได้ด้วย   ช่วงระยะของการแพร่เชื้อในผู้ติดเชื้อนานอย่างน้อย 35 วัน
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยที่เป็น Trichomoniasis พบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการซึ่งพบในสตรีร้อยละ 20-61   สำหรับในผู้ชายที่ติดเชื้อพบไม่มีอาการสูงกว่านี้ 75    ในสตรีที่มีอาการจะพบมีตกขาวมาก สีเหลือง เขียวปนเทา มีกลิ่นและเป็นฟอง ร่วมกับมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอดอาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ จากการที่เชื้อเข้าไปใน paraurethral glands เมื่อทำการตรวจภายในจะพบตกขาวลักษณะดังกล่าว ผนังช่องคลอดมีการอักเสบเห็นเป็นสีแดง ในรายที่เป็นมากจะเห็นการอักเสบที่ปากมดลูกเป็นสีแดงจัดและมีจุดเลือดออกใต้ชั้นเยื่อบุ ดูจากภายนอกคล้ายผลสตอเบอรี่ บางครั้งเรียกว่า “strawberry cervix”
วงจรชีวิต


Trichomonas vaginalis อาศัยอยู่ในช่องคลอดส่วนล่างของสตรี และท่อปัสสาวะและต่อมลูกหมากในผู้ชาย (1)  มันแบ่งตัวแบบ binary fission (2) . พยาธิตัวนี้ไม่มีรูปแบบcyst form, ไม่สามารถอยู่นอกร่างกายได้ Trichomonas vaginalis ติดต่อโดยทางเพศสัมพันธุ์ จากคนสู่คนเท่านั้น (3)
Trichomonas vaginalis มีแต่ระยะ trophozoite เท่านั้น (ไม่มีระยะที่เป็น cyst) ขนาดยาว 7-23 mm เฉลี่ย13 mm กว้าง 5-12 mm เฉลี่ย 7 mm (ขนาดก็พอๆกับเม็ดเลือดขาว) มีเยื่อพัดโบกข้างตัว (undulating membrane) ช่วยในการเคลื่อนที่

การวินิจฉัย
การวินิจฉัย Trichomoniasis อาศัยอาการและอาการแสดงจากประวัติและการตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ การตรวจ wet smear จะพบมีความไวในการตรวจร้อยละ 60-70 80 โดยจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของ Trichomonas vaginalis ชัดเจน   การตรวจด้วย 10 % KOH (Whiff test) หยดลงในตัวอย่างตกขาวในสไลด์ จะได้กลิ่นเหม็นคาวปลา (fishy odor)       การตรวจ Pap smear ก็สามารถตรวจพบเชื้อโดยมีความไวร้อยละ 80 81     สำหรับการเพาะเชื้อนั้นมีความไวและจำเพาะสูงแต่มักไม่นิยมและมีความจำเป็นในการตรวจน้อย  โดย culture media ที่นิยมใช้ ได้แก่ cystine-peptone-liver-maltose หรือ CPLM media นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาการตรวจ PCR และได้นำมาใช้ในการตรวจ Trichomoniasis ด้วย
การรักษา
ยาที่ใช้ในการรักษา Trichomoniasis ตาม CDC 2002 80  คือ  metronidazole ขนาดที่แนะนำได้แก่  2 กรัม รับประทานครั้งเดียวหรือ 500 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกัน 7 วัน ประสิทธิภาพในการรักษาร้อยละ 90- 95  โดยแนะนำให้รักษาคู่นอนด้วย หากยาที่ใช้ในการรักษาล้มเหลว   แนะนำให้ใช้ยา metronidagole ขนาด 2 กรัม รับประทานวันละครั้ง ติดต่อกัน 3-5 วัน สำหรับในสตรีมีครรภ์การติดเชื้อนี้สัมพันธ์กับการเกิดน้ำเดินก่อนครบกำหนด การคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักตัวน้อย   การรักษาสามารถใช้ยา metronidagole ในการรักษาได้โดยไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับความพิการของทารกแต่กำเนิด
การป้องกัน
การใช้ถุงยางอนามัยชนิด ลาเทก (Latex)อย่างถูกวิธีจะช่วยลดการแพร่ของเชื้อทริโคโมแนสได้ แต่ก็ไม่อาจป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การงดมีเพศสัมพันธ์เป็นการป้องกันที่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์ที่ยั่งยืนต่อกันนั้น ก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทริโคโมแนสและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆลงได้อย่างมาก




Virus

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากเชื้อไวรัส จากเชื้อ Rotavirus
โรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อไวรัส (Viral gastroenteritis) เป็นโรคที่พบประปรายหรือพบมีการระบาดในทารก เด็กเล็ก และผู้ใหญ่มีผลโดยตรงต่อทารกและเด็กเล็กในการทำให้เกิดอุจจาระร่วงซึ่งอาการอาจรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อุจจาระร่วงจากเชื้อ Rotavirus

·         ลักษณะโรค : มีโรคที่เกิดขึ้นประปรายหรือตามฤดูกาลมักพบการอักเสบติดเชื้อของลำไส้ในทารกและเด็กเล็กที่มีอาการไข้และอาเจียนตามมาหลังจากมีการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง และทำให้เสียชีวิตได้ในกลุ่มที่มีอายุน้อย ผู้สัมผัสในครอบครัวที่เป็นผู้ใหญ่มักไม่ค่อยมีอาการป่วยเกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะเป้นการติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ การติดเชื้อ rotavirus มีโอกาสพบในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการป่วยทางคลีนิกแตกต่างกัน แต่มีการได้รับเชื้อไวรัสโดยบังเอิญจากในโรงพยาบาลเชื้อโรต้าไวรัสนี้นับเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงในเด็กแรกเกิด และทารกที่อยู่ในโรงพยาบาล ในผู้ป่วยบางราย การป่วยจาก rotavirus ไม่สามารถแยกได้จากการป่วยที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสทางเดินอาหารอื่นๆ ถึงแม้อุจจาระร่วงมาก rotavirus นี้จะมีอาการรุนแรงกว่าและมักมีอาการไข้อาเจียนเกิดขึ้นได้มากกว่าอุจจาระร่วงเฉียบพบันที่มีสาเหตุจากเชื้ออื่นก็ตาม rotavirus จะถูกตรวจพบได้ในอุจจาระโดยวิธี EM, ELISA, LA และวิธีการตรวจทางอิมมูโนโดยใช้น้ำยาตรวจสำเร็จรูปการติดเชื้อ rotavirus ยังสามารถตรวจได้โดยวิธีการตรวจทางน้ำเหลือง แต่การวินิจฉัยโรคโดยทั่วไปมักจะใช้ผลจากการตรวจหาเชื้อในอุจจาระเป็นหลัก
·         การเกิดโรค : พบได้ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา เป้นสาเหตุของการป่วยถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เป็นทารกและเด้กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มารักษาในโรงพยาบาล เด็กส่วนใหญ่จะป่วยได้ในช่วงอายุตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 3 – 4 ปี เชื้อ rotavirus นี้ มักพบว่ามีความสัมพันธ์กับการทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงมากกว่าเชื้ออุจจาระร่วงตัวอื่น ในประเทสที่กำลังพัฒนาประมาณว่าจะมีผู้ป่วยที่ตายด้วยอุจจาระร่วงถึง 870,000 รายต่อปี ในประเทศที่มีภูมิอากาศอบอุ่นมักจะเกิดโรคนี้ในฤดูหนาวส่วนในประเทศเขตร้อนการเกิดโรคพบได้ตลอดปี (ในประเทศไทยพบมากในฤดูหนาว) การติดเชื้อในเด็กแรกเกิดพบได้บ่อยแต่มักไม่แสดงอาการ และการติดเชื้อในผู้ใหญ่มักไม่ปรากฏอาการเช่นกัน แต่อาจพบการระบาดของโรคในสถานพักฟื้นคนชรา rotavirus ยังเป็นสาเหตุของการเกิดอุจจาระร่วงในกลุ่มนักเดินทาง ในผู้ป่วยที่มีความพกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน(และผู้ป่วยโรคเอดส์) และพบได้ในกลุ่มผู้ปกครองเด็กที่ป่วยด้วยอุจจาระร่วงจาก rotavirus ตลอดจนในผู้สูงอายุและเด็กที่อยู่ในสถานดูแล
·         วิธีการแพร่เชื้อ : โดยการรัเอาเชื้อที่ปนออกมากับอุจจาระโดยการกินหรือหายใจเข้าไป ถึงแม้ว่า rotavirus จะไม่สามารถเจริญแพร่พันธุ์ได้ในระบบทางเดินหายใจ แต่เชื้ออาจถูกกลืนลงสู่ทางเดินอาหารไปพร้อมๆ กับเสมหะ หรือสารคัดหลั่งที่มาจากทางเดินหายใจ
·         ระยะฟักตัว : ประมาณ 24 -72 ชั่วโมง
·         ระยะติดต่อของโรค : เกิดได้ข่วงระยะที่มีอาการและตลอดระยะที่ยังมีการขับถ่ายเชื้อไวรัสออกมาเชื้อ rotavirus มักไม่สามารถตรวจพบได้หลังจากมีอาการจํบป่วยแล้วประมาณ 8 วัน (เคยมีรายงานในผู้ป่วยที่มีความพกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ว่าสามารถขับถ่ายเชื้อไวรัสออกจากร่างกายได้นานกว่า 30 วัน) โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการอยู่นานประมาณ 4-6 วัน
·         ความไวและความต้านทานต่อการรับเชื้อ : ผู้ที่มีความไวต่อการรับเชื้อมากที่สุดคือเด็กที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี ในเด็กที่มีอายุ 3 ปี ส่วนใหญ่จะพบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อ rotavirus แล้ว ในผู้ป่วยเด็กที่มีความพกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยด้วยอุจจาระร่วงจากเชื้อ rotavirus ได้นานกว่าเด็กปกติ
·         วิธีการควบคุมโรค
ก. มาตรการป้องกัน
o    ยังไม่มีการกำหนดมาตรการที่แน่ชัดเกี่ยวกับสุขอนามัยในการป้องกันการได้รับเชื้อจากอุจจาระโดยการกิน ซึ่งอาจจะไม่มีผลต่อการป้องกันการติดต่อโรคนี้ได้
o    ป้องกันทารกและเด็กเล็กไม่ให้สัมผัสกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง ทั้งที่อยู่ในครอบครัว ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือในโรงพยาบาล
o    ให้ภูมิคุ้มกันแบบ Passiva immunization โดยการกินอิมมูโนโกลบุสินเพื่อให้ภูมิคุ้มกันโรคแก่เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์การให้นมแม่ยังไม่มีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อแต่อาจช่วยลดความรุนแรงของโรค ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนโรต้าไวรัสชนิดกิน
ข. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม
o    รายงานผู้ป่วยต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รับผิดชอบในท้องถิ่น
o    การแยกผู้ป่วย : การระวังป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ผู้ดูแลเด็กทารกควรต้องมีการล้างมือบ่อยๆเป็นประจำ
o    การทำลายเชื้อ : มีการกำจัดอุจจาระเด็กที่ถูกสุขลักษณะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดจะใช้ในกรณีที่มีการขาดน้ำมาก หรือผู้ป่วยมีอาการอาเจียน