โรคพยาธิแส้ม้า (Trichuriasis)
โรคพยาธิแส้ม้า พบได้ทั่วโลก
โดยเฉพาะในท้องถิ่นที่มีอากาศอบอุ่นและมีความชื้น อาจพบได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น
สุนัข สุกร แกะ และสัตว์อื่นๆ ในประเทศไทยมีประชาชนเป็นโรคนี้ร้อยละ 38.3 พบมากทางภาคใต้ ส่วนภาคอื่นๆพบได้ค่อนข้างน้อย
เชื้อที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่พยาธิตัวกลมที่มีชื่อว่า ทริเธอริส ทริคเธอร่า (Trichuris
trichura) เป็นพวกนีมาโตดี (Nematode) โดยมากพบว่าอาศัยเกาะอยู่ในลำไส้ส่วนใกล้ไส้ติ่งเป็นโรคพยาธิของลำไส้
พยาธิจะไชหัวและส่วนหน้าของลำตัวฝังเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่
จึงทำให้เยื่อบุลำไส้เกิดเป็นแผลเล็กๆ และอาจทำให้มีอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร
ท้องเดิน น้ำหนักลด และโลหิตจาง
แหล่งของโรค ได้แก่ผู้ที่มีพยาธิแส้ม้าอาศัยอยู่ในร่างกาย
วงจรชีวิต
พยาธิชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายแส้ที่ใช้ตีม้า จึงเรียกว่าหนอนพยาธิแส้ม้า
โดยมีลักษณะลำตัวตอนต้นหรือส่วนหัวเรียวเล็กเป็นเส้น
ส่วนตอนหลังใหญ่หรือกว้างคล้ายด้ามแส้ตีม้า ตัวผู้จะยาวประมาณ 3-4 ซม. ปลายหางขดงอเป็นวง ตัวเมียยาวประมาณ 4-5
ซม. ปลายหางเหยียด
ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์แล้วจะออกไข่มากับอุจจาระประมาณ 5,000-7,000 ฟองต่อวัน ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวบนพื้นดินประมาณ 2-3 อาทิตย์จึงจะมีตัวอ่อนของพยาธิอยู่ในไข่
ซึ่งเป็นระยะติดต่อไปสู่คนทางอาหาร เช่น การรับประทานผักสดหรือดื่มน้ำที่มีไข่ในระยะติดต่อเข้าไป
ตัวอ่อนจะออกจากไข่แล้ว
เกาะติดผนังลำไส้เจริญเติบโตเป็นตัวแก่ผสมพันธุ์และออกไข่ปะปนออกมากับอุจจาระเป็นวัฎจักร
ตัวพยาธิอาจมีชีวิตอยู่ในร่างคนได้ประมาณ
5 ปีจึงจะตาย
ตั้งแต่รับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิเข้าไปจนเจริญเป็นตัวแก่
สามารถปล่อยไข่ปนกับอุจจาระกินเวลาประมาณ 90 วัน
พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะส่วนซีคั่ม
ยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 3000-7000
ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระลงสู่พื้นดิน
เมื่ออุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ไข่จะเจริญเติบโตเป็นระยะ 2 เซลล์ และจะกลายเป็นตัวอ่อน( advanced cleavage stage) และจะกลายเป็นตัวอ่อนในระยะติดต่อ ใช้เวลาทั้งหมด 15-30 วัน
หลังจากที่คนรับประทานไข่เข้าไป ไข่จะแตกเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และตัวอ่อนจะเจริญเติบโต และจะกลายเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้ใหญ่ โดยใช้ส่วนหัวและลำตัวฝังที่ผนังลำไส้ใหญ่
ตัวแก่จะมีความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร ตัวเมียจะเริ่มวางไข่หลังจากรับประทาน 60-70 วัน ตัวพยาธิจะมีอายุประมาณ 1 ปี
การติดต่อ ติดต่อโดยไข่พยาธิในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกายทางอาหาร
ระยะฟักตัว ประมาณ 7 – 21 วันในการที่ไข่จะฟักตัวบนพื้นดินจนมีตัวอ่อนอยู่ในไข่
หรือประมาณ 90 วันนับจากรับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิเข้าไปเจริญเติบโตในร่างกายจนเป็น
ตัวแก่สามารถปล่อยไข่ปะปนออกมากับอุจจาระ
ระยะติดต่อ ตลอดระยะเวลาที่มีพยาธิตัวแก่อยู่ในลำไส้
ความไวรับและความต้านทานโรค ทุกคนมีโอกาสเป็นพยาธินี้ได้หากได้รับไข่ในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกาย
อาการ
ผู้ป่วยด้วยโรคพยาธิแส้ม้าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาการของโรค
ยกเว้นแต่ในรายที่พยาธิ เป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดมีอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร
และจะมีอาการซีด อ่อนเพลีย มึนงง เหนื่อยง่าย หรือโลหิตจาง
เนื่องจากสูญเสียโลหิตให้กับพยาธิ
มีผู้ศึกษาไว้ว่าพยาธิตัวหนึ่งสามารถดูดโลหิตถึงวันละ 0.15 มล.
อันตรายของโรค หนอนพยาธิอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ในร่างกายคน ทำให้ผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
มีอาการปวดท้อง บางครั้งถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด
การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค ตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบไข่พยาธิ
การรักษาและควบคุมป้องกันโรค เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในเรื่องพยาธิไส้เดือน และพยาธิปากขอ
สำหรับผู้ที่เป็นโรคพยาธิควรกินยาถ่ายพยาธิ เพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่น
ยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคพยาธิแส้ม้า ได้แก่
1.ไทอาเบนดาโซล
(Thiabendazole) ขนาด 25 มก./นน.ตัว 1 กก. สูงสุดให้ไม่เกิน 1.5 กรัม รับประทานวันละ 2
ครั้ง 2 วัน
2.หรือใช้
เฮกซิลเรซอคอล (Hexylresorciol) 0.2 % สวนทวารหนัก
3.สติลบาเซียม
ไอโอไดน์ (Stilbazium iobide)
4.ไพแรนทอล
พาโมเอท (Pyrantal Pamoate)
5.ยาถ่ายพยาธิที่มีสารประกอบพวก
เมเบนดาโซ (Mebendazole)
6.มะเกลือ
ขนาด 1 ผล/อายุ 1 ปี
แต่ไม่เกิน 25 ผล โดยนำมาตำคั้นน้ำแล้วนำมาผสม กับหัวกะทิ
ดื่มในตอนเช้า (ดูในเรื่อง พยาธิปากขอด้วย)
การวินิจฉัย
ตรวจอุจาระไข่และตัวแก่ในอุจาระ
ไข่จะมี Plug ที่ขั้วทางปลายทั้งสองข้างมีเปลือกสีน้ำตาล
การป้องกัน
·
ควรถ่ายอุจาระลงส้วม
·
ไม่ควรรับประทานผักสดที่ล้างไม่สะอาด
·
ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น